วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Phrasal Verbs

Phrasal Verbs คือ กริยาที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นกริยา ( verb ) และคำอื่น ( มักเป็นคำบุพบท ) เมื่อรวมกันแล้วความหมายมักเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น give up , get up

Inseparable Verbs with no objects

คือ phrasal verb ที่ต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ ไม่ต้องมีกรรม เช่น

set off ออกเดินทาง Speed up เร่งความเร็ว
Wake up ตื่นนอน Stand up ยืนขึ้น
Come in เข้ามาถึง Get on ขึ้น (รถ) / เข้ากันได้
Carry on ทำต่อไป Find out เรียนรู้
Grow up เติบโต Turn up ปรากฏตัว
Seattle down ตั้งรกราก ลงหลักปักฐาน

Example : The plane will set off at 6 o`clock

----------------------------------------------------------------------------

Inseparable Verbs with objects

คือ phrasal verb ที่ต้องอยู่ติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ แต่ต้องมีกรรม เช่น

Look after เลี้ยงดู Look into สอบถาม ตรวจสอบ
Run into ชน Come across พบโดยบังเอิญ
Take after เหมือนถอดแบบ Deal with ติดต่อ เกี่ยวข้อง
Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน Cope with จัดการ
Go off ออกไป จากไป หยุดทำงาน

Example : The parents look after their children

----------------------------------------------------------------------------------------------

Separable verbs

Separable verbs ที่แยกจากกันได้ มักจะต้องการกรรม

Turn on เปิด(ไฟ) Turn off ปิด (ไฟ)
Turn down หรี่ (เสียง) Swith off ปิด
Look up มองหา Take off ถอด ออกดินทาง
Try on ลองสวม

วางกรรมตรงไว้หน้า หรือ หลัง preposition ก็ได้

Example : Please turn off the light before going out off

Please turn the light off before going out

----------------------------------------------------------------------------

Three-Word Phrasal Verbs

คือ phrasal verb ที่ไม่มีกรรมและบางครั้งมีการใช้บุพบทมากกว่า 1 ตัว เช่น

Get on with ทำต่อไป ไม่หยุด Cut down on ลดปริมาณลง
Look out for เตรียมพร้อม Catch up with ตามทัน
Run out of หมด Get down to เอาจริงเอาจัง
Stand up for ปกป้อง เดือดร้อนแทน Look down to ดูถูก
Look up to ยอมรับนับถือ Put up with อดทน
Look out on มองออกไป

Example : I must get on with my work.

แต่ในบทเรียนของเราที่เราจะเรียนนะครับ เราจะเน้นเรื่องการใช้ Turn เพียงเท่านั้น ดังนั้นครูก๊อตขออธิบายเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้ Turn ให้มากขึ้น ตามเนื้อหาที่เราจะเรียนนะครับ เราลองมาดูทีละตัวเลยครับ
1. Turn up = มาถึง (ในที่นี้คำว่า Turn up จะมีความหมายเหมือนกับคำว่า arrive นะครับ)หรือจะใช้ในการบอกให้เพิ่มเสียงก็ได้ ดังนั้นจะต้องอ่านประโยคให้ดีนะครับว่าหมายถึงอะไร
2. Turn down = ปฏิเสธ (ในที่นี้คำว่า Turn down จะมีความหมายเหมือนกับคำว่า No! นะครับ)หรือจะใช้ในการบอกให้ลดเสียงลงก็ได้ ดังนั้นจะต้องอ่านประโยคให้ดีนะครับว่าหมายถึงอะไร
3. Turn off = ปิด เราจะใช้กับพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ความหมายก็เหมือนกับคำว่า switch off
4. Turn on = เปิด เราจะใช้กับพวกอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ความหมายก็เหมือนกับคำว่า switch on
5. Turn around = หมุนรอบตัว หรือ หันหลังไป
6. Turn over = พลิกหนังสือ

หลักจริง ๆ ว่าเราจะใช้ phrasal verb ตัวไหนอย่างไร ก็คือนักเรียนจะต้องอ่านและตีประโยคให้แตกเสียก่อนนั่นเองครับ เราลองมาทำแบบฝึกหัดกันดูดีกว่า
Complete each sentence.
1. Isn't it about time you turned ___ ? It's getting rather late.

2. They turned this section of river ____ a water park for the city.

3. Keep looking. It's bound to turn _____ sooner or later.

4. He was turned ____ because of his age. He was too young.

5. She turned ____ and went back home because she forgot something.

6. Why turn ____ car? I'm just going in to get my sunglasses.

7. Mother turned us ____ from the kitchen as she didn't want any distractions.

8. He was turned ____ for his Visa application because he had been in jail.

9. She turned ____ to be an heiress to a small fortune.

10. Turn ___ that noise, will you? I'm trying to get some sleep.

Key
1. in 2. into 3. up 4. down
5. around 6. off 7. away 8. down
9. out 10. off

Passives

Passive Voice หมายถึง ประโยคกรรมวาจก แท้จริงแล้ว Passive Voice (ประโยคกรรมวาจก) คืออะไร ประโยคกรรมวาจกก็คือ ประโยคหรือข้อความที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำกิริยานั้นโดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น กล่าวง่ายๆ ก็คือ ท่านยกสิ่งที่ถูกกระทำมาเป็นประธานของประโยคนั้นเอง และจะแปลออกสำเนียงว่า “ ถูก.... ” ตัวอย่างเช่น

Gumb is liked by Neab. ทอมถูกแมรี่ชอบ (มีความหมายเท่ากับเนี๊ยบชอบกึ่ม)
A football is kicked by a boy. ลูกบอลถูกเตะโดยเด็กชาย(มีความหมายเท่ากับเด็กชายเตะลูกบอล)

ในบทเรียนของเรา เราจะพูดถึง Passive 4 กาล คือ Past passive,Present passive, Present perfect passive และ Future passive คราวนี้เรามาดูโครงสร้างของ Passives เหล่านี้กันเลยนะครับ ครูก๊อตจะจำแนกออกเป็นแต่ละประเภทเพื่อให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ เริ่มเลยนะครับ

1. Past simple = S + was, were + verb 3 + by…………
ตัวอย่าง เช่น
- The law of nature was discovered by the Buddha.
กฎของธรรมชาติถูกค้นพบโดยพระพุทธเจ้า
- Books were read by my father.
หนังสือถูกอ่านโดยพ่อของผม

2.Present simple = S + is, am, are + verb 3 + by…………
ตัวอย่างเช่น
- Dan is kicked by Dam. แดนถูกเตะโดยดำ
- This is made by me. สิ่งนี้ถูกทำโดยผม

3. Present perfect = S + have, has + been + verb 3 + by…………
ตัวอย่างเช่น
- English has been spoken by Peter. ภาษาอังกฤษได้ถูกพูดโดยปีเตอร์
- Religions have been practiced by people. ศาสนาได้ถูกปฏิบัติโดยคน

4. Future simple = S + will, shall + be + verb 3 + by…………
ตัวอย่าง เช่น
- Breakfast will be had by me. อาหารเช้าจะถูกรับประทานโดยผม
- Exercises will be done by me. การบ้านจะถูกทำโดยผม

ครบแล้ว 4 กาล งงกันไหมเอ่ย ครูก๊อตรู้ดีว่านักเรียนคนเก่งของครูก๊อตไม่งงแน่นอน แต่หากยังไม่เคลียร์จดคำถามแล้วมาถามเป็นการส่วนตัวได้นะครับ คราวนี้เราลองมาทำแบบฝึกหัดกันดีกว่า ครูก๊อตจะลง Tense ละ 5 ข้อนะครับ โดยเรียงจากด้านบนที่อธิบายไปสักครู่นี้ ฌแลยจะแยกเป็นส่วน ๆ นะครับ เริ่มเลยนะครับ

Exercise on Passive Voice - Simple Past
Rewrite the sentences in passive voice.


1. She sang a song. - ................................
2. Somebody hit me. - ...................................
3. We stopped the bus. - ...................................
4. A thief stole my car. - ..................................
5. They didn't let him go. - ....................................

Key

1. A song was sung by her.
2. I was hit by somebody.
3. The bus was stopped by us.
4. My car was stolen by a thief.
5. He was not let go by them.

Exercise on Passive Voice - Simple Present
Rewrite the sentences in passive voice.


1. He opens the door. ..............................
2. We set the table. ...............................
3. She pays a lot of money. ...............................
4. I draw a picture. ....................................
5. They wear blue shoes. ...............................

Key
1. The door is opened by him.us.
2. The table is set by us.
3. A lot of money is paid by her.
4. A picture is drawn by me.
5. Blue shoes are worn by them.

Exercise on Passive Voice - Present Perfect
Rewrite the sentences in passive voice.


1. Kerrie has paid the bill. .........................
2. I have eaten a hamburger. .............................
3. We have cycled five miles. ............................
4. I have opened the present. ................................
5. They have not read the book. ................................

Key
1. The bill has been paid by Kerrie.
2. A hamburger has been eaten by me.
3. Five miles have been cycled by us.
4. The present has been opened by me.
5. The book has not been read by them.

Exercise on Passive Voice - Future I
Rewrite the sentences in passive voice.


1. Jane will buy a new computer. ...........................
2. Her boyfriend will install it. ............................
3. Millions of people will visit the museum. .........................
4. Our boss will sign the contract. ................................
5. You will not do it. ..........................

Key
1. A new computer will be bought by Jane.
2.It will be installed by her boyfriend.
3.The museum will be visited by millions of people.
4.The contract will be signed by our boss.
5. It will not be done by you.

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ครูก๊อตหวังว่าหลังจากทำแบบฝึกหัดแล้วนักเรียนคงเข้าใจกันมากขึ้นนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ .....ครูก๊อต

Gerund or to + infinitive

GERUND = ING
คือ กริยาที่เป็น Subject ได้เมื่อเสนอหน้าอยู่หน้าประโยค Cutting in line makes someone angry.
คือ กริยาสามารถแทรกกลางประโยคตามได้หลัง verb เฉพาะที่ต้องตามด้วย ing เท่านั้น Don't try cutting in line.
และหลัง Preposition ทั้งหลาย Before talking, please notice that you aren't cutting in line.

หลายคนคง งง (รวมทั้งผมด้วย) ว่าที่มันแทรกอยู่กลางประโยคเนี่ยมันมี Verb บังคับตัวไหนมั่ง
แล้วตัวไหนเป็นINFINITIVE ตัวไหนเป็น GERUND วันนี้ผมเลยรวมรวบมาไว้นะที่นี้แล้ว

VERB ดังต่อไปนี้เจอเมื่อไหร่ข้างหลังต้องเป็น V.ing เท่านั้น
admit appreciate avoid compare confess consider delay deny detest enjoy escape excuse
fancy finish forgive imagine involve keep mention mind miss practice postpone recognize discuss
recollect report resent resist risk spend suggest prevent understand feel quit defer recall
complete anticipate tolerate
สังเกตได้ว่ากริยาพวกนี้มันไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทาง
สำนวนที่ต้องตามด้วย V.ing
be accustomed to คุ้ยเคยต่อการ
be opposed to คัดต้านที่การ
be tired of เหนื่อยกับการ
be used to / get used to
can't bear / can't help
can't resist ต่อต้านไม่ได้กับการ
can't stand อดไม่ได้กับการ
give up / give up on เลิก
go on ทำต่อไป
insist on ยืนกรานกับการ
It's no good ไม่ดีที่จะ
It's no used ไม่มีประโยชน์ีี่ที่จะ
It's worth สมควรที่จะ,คุ้มที่จะ
leave of หยุดท
look forward to ตั้งใจรอคอยกับ
prefer to
put off เลื่อนออกไป
object to คัดค้านกับการ
think of
Would you mind ... ?/ Do you mind ... ? จะรังเกียจมั้ย
Would rather.../ Had better ... + INFINITIVE WITHOUT TO ควรจะ ... ดีกว่า

คำที่เป็นได้ทั้ง GERUND และ INFINITIVE แต่ความหมาย ไม่เปลี่ยน
advise attempt bear begin cease continue dislike fear hate intend learn like love omit plan
prefer propose (นำเสนอ) start
I begin to plan a big party.
I begin planning a big party .
ยังไงก็แปลว่า : วางแผนจัดงานปาตี้ที่ใหญ่
คำที่เป็นได้ทั้ง GERUND และ INFINITIVE แต่ความหมาย เปลี่ยน
เอาละเริ่มยุ่งยากขึ้นและเอาละเรามีวิธีจำง่ายๆ
GERUND อดีต(สิ่งที่ทำไปแล้วในอดีต) INFINITIVE อนาคต (สิ่งที่กำลังจะทำ)
stop + infinitive = หยุดเพื่อจะทำอย่างอื่น
stop + gerund = หยุดหรือเลิก ทำในสิ่งที่ทำมา

forget + infinitive = ลืมที่จะทำ
forget + gerund = ลืมว่าได้ทำไปแล้ว

remember + infinitive = ไม่ลืมว่าจะ
remember + gerund = จำได้ถึงสิ่งที่ผ่านมา

regret + infinitive = เสียใจที่จะทำนั้นๆ
regret + gerund = เสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

try + infinitive = พยามที่จะทำสิ่งนั้น
try + gerund = พยายามกับสิ่งนั้นมาแล้ว

เท่านั้นยังไม่พอเรามีอีกโครงสร้างมานำเสนอ verb + ing หรือ verb + object + to
verb คือ advise allow bid encourage forbid feel hear let make notice observe recommend
see watch smell
verb + ing verb + object + to
I forbid playing GTA
She doesn't let go I forbid everyone to play GTA
She doesn't let him to go


แต่ในบทเรียนของเรา ครูก๊อตจะขอสรุปแค่บางตัวที่เราต้องเรียน โดยครูก๊อตจะแบ่งลงในตารางเพื่อให้นักเรียนคนเก่งเห็นและเข้าใจได้ง่ายตามนี้นะครับ เริ่มเลยนะครับ ครูก๊อตขอแยกออกเป็นประเภทดังนี้
1. Verbs + to ได้แก่ need to, decide to, refuse to, want to, promise to, agree to, mean to, pretend to, offer to
2. to or ing ประเภทนี้จะใช้อันไหนก็ได้ครับ ได้แก่คำว่า start to, continuue to, begin to
3. Verbs + V.ing ได้แก่ stop ...V.ing..., enjoy ...V.ing..., imagine ...V.ing...., suggest ...V.ing...

***********************************************************************************
แถมครับแถม
V.TO BE + V.ing แปลว่า น่า...(ACTIVE)
V.TO BE + V3 แปลว่า รู้สึก...(PASSIVE)
Do you think musicians are interesting.
NO! I was shocked.
Verb เหล่านั้นได้แก่
annoy bore disappoint excite interest please satisfy surpise tired shock disgust thrill
fascinate disturb amaze frustrate confuse depress delight terrify
VERB จำพวกนี้ไม่จำเป็นต้องเติม VERY หรือ MUCH หรือ A LOT มีความมายว่า "อย่างมาก" ในตัวมันเองอยู่แล้ว
I'm surprising. ฉันน่าแปลกใจม๊าก
I'm so surprised. ฉันก็รู้สึกแปลกใจม๊าก

คราวนี้ลองมาทำแบบฝึกกันดูนะครับ (ไม่รู้ว่ายากไปสำหรับนักเรียนคนเก่งของครูก๊อตหรือเปล่าหนอ)
Exercise

Supply a Gerund or To Infinitive according to the meaning of sentence


1. He can remember…………………………( meet ) her some where last week.

2. Please remember………………………….( wipe ) your feet before come in.

3. He forgot…………………………….( water ) those flowers yesterday.

4. The thief got into my room because I forgot………………………..( lock ) the door.

5. He was lucky to meet that charming girl. He will never forget………………………..( dance ) with her.

6. If she comes, don’t forget…………………………………( dance ) with her.

7. We regret………………………..( inform ) you that your son was died.

8. You should regret………………………..( lend ) her your best pen.

9. Do you remember…………………………( meet ) Dang at my home last year ?

10. He always tries……………………………( be ) a good students.

คราวนี้มาดูเฉลยกันสิว่าได้กันกี่ข้อเอ่ย
1. meeting 6. to dance

2. to wipe 7. to inform

3. watering 8. Lending

4. locking 9. meeting

5. dancing 10. to be

Units of Time

หยุดอีก 4 วัน ติดต่อกันแบบนี้นักเรียนคงมีความสุขกันทั่วหน้า เอาหล่ะครูก๊อตก็เลยมีเวลามา Up Blog ใหม่ให้นักเรียนเหมือนกัน จริง ๆ แล้วอัพไปครั้งล่าสุดเราก็ยังเรียนไม่ถึงกันเลย แต่เอาไว้อ่านก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียนนะครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง Units of Time เอ๊ะ ! ครูก๊อตมาพูดเรื่องน้ำแข็งยูนิกทำไม เปล่า ๆ ไม่ใช่ ๆ จริง ๆ แล้วจะมาพูดเรื่องหน่วยของเวลาที่เราจะเรียนกันต่อไปในบทที่ 5 เรื่องนี้สั้นนิดเดียวเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

second > minute > hour > day > week > month > year > decade > century
Shortest - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - -> Longest

นักเรียนจะเห็นได้ว่า ครูก๊อตเริ่มจากหน่วยเล็กที่สุดของเวลา และค่อยมาที่หน่วยที่ใหญ่ขึ้นไปจนมากที่สุด ดังนี้หากจะพูดกันแล้วเรื่องนี้เพียงแค่นักเรียนจำความหมายของคำศัพท์ได้ก็จะเขข้าใจบทเรียนนี้แล้วนะครับ หรือหากจะเรียงเป็นภาษาไทยก็จะได้ตังนี้ครับ
วินาที > นาที > ชั่วโมง > วัน > สัปดาห์ > เดือน > ปี > 10 ปี > 100 ปี (ศตวรรษ)
จุดที่สั้นที่สุด - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - > จุดที่ยาวที่สุด

คราวนี้เราลองมาเปรียบเทียบดูกันดีกว่า
60 seconds = 1 minute
60 minutes = 1 hour
24 hours = 1 day
7 days = 1 week
4 weeks = 1 month
12 months = 1 year
10 years = a decade
100 years = a century

ดังนั้นหากเจอคำถามที่เกี่ยวกับหน่วยของเวลานักเรียนคนเก่งของครูก๊อตคงตอบกันได้ทุกคนนะครับ
เอาหละคราวนี้เราลองมาทำแบบฝึกหัดกันดีกว่า เริ่มกันเลยดีกว่า
1. How many minutes are there in 3 hours?
2. How many hours are there in 1 week?
3. How many days are there in 3 years?
4. How many months are there in a century?
5. How many years are there in 3 centuries?

เอาคร่าว ๆ แค่นี้ก่อนดีกว่า ห้ามใช้เครื่องคิดเลขนะจ๊ะ ลองเอากระดาษทดมาลองคิดกันดู เฉลยดูข้างล่างนะจ๊ะ
1. There are 180 minutes in 3 hours.
2. There are 168 hours in a week.
3. There are 1,095 or 1,096 days in 3 years.
4. There are 1,200 months in a century.
5. There are 300 years in 3 centuries.

เป็งไงได้คนละกี่ข้อฮิฮิเล่นซะหัวปั่นเลย สนุก ๆ ชอบ ๆ ไว้เจอกับใบทเรียนนี้ในห้องเรียนอีกครั้งนะครับ

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Present perfect continuous

Present perfect continuous หรือที่เราเรียกอีกชื่อว่า Present perfect progressive เราจะเรียกอย่างไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนกันนะครับ คราวนี้เรามาเริ่มบทเรียนนี้กันเลยดีกว่า
วิธีใช้
การใช้ใช้เช่นเดียวกับ PRESENT PERFECT TENSES แต่เน้นใช้กับประโยคที่มีความต่อเนื่อง
หมายเหตุ: จะต้องใช้กับ v.ที่มีความต่อเนื่อง เช่น work, stay, wait etc. และใช้กล่าวถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงในขณะที่พูด การบอกระยะเวลาของความต่อเนื่องมักใช้คำว่า for two hours, for three weeks, for a month, since last month หรือ recently และ lately เป็นต้น


โครงสร้างประโยคจะเป็นดังนี้นะครับ
รูปประโยคบอกเล่า : Subject + V.to have + been + V.ing
รูปประโยคปฏิเสธ : Subject + V. to have + not + been + V.ing
รูปประโยคคำถาม : V. to have + Subject + been + V.ing

หมายเหตุ : เมื่อประธานเป็น I, You, We, They, Plural (more than 1) เราใช้ have นะครับ เมื่อประธานเป็น He, She, It, Singular (only 1) เราใช้ has

ลักษณะประโยคต่างๆ ของ Present perfect continuous tense

ประโยคบอกเล่า

I have been waiting for one hour.
You have been talking too much.

ประโยคปฏิเสธ It has not been raining.
We have not been playing football.

ประโยคคำถาม
Has she been doing her homework?
Have they been doing their homework?

คราวนี้ลองมาทำแบบฝึกกันดูนะครับ

Exercise on Present Perfect Progressive

Put the verbs into the correct form (present perfect progressive).


1. He (work) .................... in this company since 1985.
2. I (wait) ......................... for you since two o'clock.
3. Mary (live) ........................ in Germany since 1992.
4. Why is he so tired? He (play).................... tennis for five hours.
5. How long (learn / you)........................... English?
6. We (look for) .................... the motorway for more than an hour.
7. I (live)........................ without electricity for two weeks.
8. The film (run / not) ....................... for ten minutes yet, but there's a commercial break already.
9. How long (work / she).................... in the garden?
10. She (not / be)....................... in the garden for more than an hour.

เฉลยมาแล้วครับ ถูกกันกี่ข้อเอ่ย
1. He has been working in this company since 1985.
2. I have been waiting for you since two o'clock.
3. Mary has been living in Germany since 1992.
4. Why is he so tired? He has been playing tennis for five hours.
5. How long have you been learning English?
6. We have been looking for more than an hour.
7. I have been living for two weeks.
8. The film has not been running for ten minutes yet, but there's a commercial break already.
9. How long has she been working in the garden?
10. She has not been in the garden for more than an hour.

Reported Speech

ช่วงนี้สงสัยครูก๊อตจะขยันมากไปหน่อยเลยขอมา Up Blog ต่อในเรื่องของ Reported Speech ของบทที่ 5 นักเรียนลองอ่านล่วงหน้ามาก่อนได้เพื่อเวลาเรียนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น เราใช้ Reported Speech เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ
1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น
John said, "I like Mathematics."
ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech

2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech เช่น
John said (that) he liked Mathematics.
ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"
ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech

คำกริยาที่ใช้กับ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น
1. say (said) = พูดว่า
2. know (knew) = รู้ว่า
3. hope (hoped) = หวังว่า
4. think (thought) = คิดว่า

เช่น
(1) John said, "I like Mathematics."
(2) John said (that) he liked Mathematics.
คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)
ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)

Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
2. Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
3. Reported Questions (คำถาม)
ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้

1. Reported Speech แบบ Reported Statement
มีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ดังนี้
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech เช่น
Direct Speech : John says, "I like Mathematics."
=>Reported Speech : John says (that) he likes Mathematics.
(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 = Present Simple Tense ทั้งคู่)
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech ดังนี้
1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense เช่น
Direct Speech : John said, "I like Mathematics."
=> Reported Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense เช่น
Direct Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."
=> Reported Speech : Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Tom said, "I have finished my work."
=> Reported Speech : Tom said (that) he had finished his work.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Malee said, "I went to Bangkok."
=> Reported Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่น
Direct Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."
=> Reported Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่น
Direct Speech : They said, "We shall go to Bangkok."
=> Reported Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่น
Direct Speech : Jim said, "I can't speak Thai."
=> Reported Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่น
Direct Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
=> Reported Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
9) must เปลี่ยนเป็น had to เช่น
Direct Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."
=> Reported Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.

ข้อควรจำเพิ่มเติม
1. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Reported Speech
now => then
today => that day
yesterday => the day before / the previous day
tonight => that night
tomorrow => the next day / the following day
next (week) => the following (week)
ago => before
last (week) => the previous (week)
the day before yesterday => earlier / two days before
the day after tomorrow => later in two day's time / two days after
a year ago => a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Direct Speech
here => there
this => that
these => those

2. Reported Speech แบบ Reported Request and Command
การเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
เช่น
Direct Speech : He said, "Please don't make aloud noise."
=> Reported Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก

Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."
=> Reported Speech : She told us to come to the party the following day.
(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day

Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."
=> Reported Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)

3. Reported Speech แบบ Reported Question
การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Reported Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
1.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
1.2 ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)
1.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Can we leave now?"
=> Reported Speech : They asked if they could leave then.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)

Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"
=> Reported Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)

2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
2.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
2.2 ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
2.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Who can speak English?"
=> Reported Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……
จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย

Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"
=> Reported Speech : She asked me when Jim would go to Japan.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)

เป็นอย่างไรบ้างครับงงไหม หากไม่เข้าใจนักเรียนสามารถส่ง mail มาถามครูก๊อตเป็นการส่วนตัวได้นะครับที่ krugott@gmail.com

คราวนี้เรามาลองทำแบบฝึกหัดกันดูดีกว่า ครูก๊อตขออนุญาตลง Site ไว้ ตาม Link ด้านล่างนะครับในบทเรียนนี้ ใน Site นี้มีแบบฝึกเรื่องนี้มากมายให้นักเรียนเลือกทำนะครับ

http://www.englishexercises.org/buscador/buscar.asp?nivel=any&age=0&tipo=any&contents=reported

First Conditional

ในบทที่ 4 นี้ เราจะเรียนเรื่อง First conditional เป็นเรื่องที่สอง ครูก๊อตเลยเข้ามา up blog เพิ่มเติมเรื่องนี้หากนักเรียนไม่เข้าใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ดังนี้ครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

First conditional ใช้นำเสนอ ความจริงหรือเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิด(ในอนาคต)

First Conditional: ใช้ในกรณีที่เป็นเหตุการณ์ปกติ หรือ อนาคตที่เป็นไปได้
This is used for situations that are possible or likely in the future.

โครงสร้างประโยค


IF + PRESENT SIMPLE , WILL + INFINITIVE
WILL + INFINITIVE + IF + PRESENT SIMPLE


เช่น
If you find English grammar hard, you'll have to study a lot.

(ถ้าการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมันยาก, คุณจะต้องศึกษาให้มาก)

If I give you a hand with that job, we'll finish faster.
(ถ้าฉันช่วยคุณทำงาน, งานของพวกเราก็จะเสร็จเร็วขึ้น)

If you're nice to people, they'll be nice to you.
(ถ้าเธอดีกับคนอื่น, คนอื่นก็จะดีกับคุณ)

If it rains later, we'll get wet.
(ถ้าฝนตกหลังจากตอนนี้, พวกเราก็จะเปียก)

I'm going to be angry if you're late again.
(ฉันจะโกรธแล้วนะ ถ้าคุณมาสายอีก)

If I have time, I'll come over later.
(ถ้าฉันมีเวลา, ฉันจะกลับมาหลังจากนี้)

The situation will be hopeless if I don't speak to you right now.
(สถานการณ์ตอนนี้ลำบากมาก แทบจะไม่มีหวังเลย ถ้าฉันไม่คุยกับคุณตอนนี้)

กรณีปฏิเสธ

I won't go outside if it's too cold.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกหรอก ถ้ามันหนาวเกินไป)

I won't go outside unless it's cool or warm enough.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกจนกว่าจนกว่าอากาศจะเย็นหรืออบอุ่นเพียงพอ)

คราวนี้เราลองมาประลองฝีมือลองทำแบบฝึกหัดกันดู


Fill the gap using the verb in brackets.Three gaps need a NEGATIVE verb and watch out for the third person S!

1If Clare ___________________ late again, the hockey trainer will be furious. (to arrive)
2You'll be sorry if you ___________________ for your exams. (to revise)
3We ___________________ if the weather's good. (to go)
4They ___________________ you if you wear a wig and dark glasses. (to recognise)
5If the bus ___________________ on time, I won't miss the football. (to be)
6If you ___________________ your homework now, you'll be free all tomorrow. (to do)
7We___________________ out if there's no food at home. (to eat)
8You'll find life much easier if you ___________________ more often. (to smile)

9

If it's hot, we___________________ for a swim. (to go)
10You'll do it better if you ___________________ more time over it. (to take)
11If she ___________________ practising, she'll get better. (to keep)
12Mum will be very sad if Jim ___________________ Mother's Day again. (to forget)
13I___________________ so happy if I pass the exam. (to be)
14You'll be really tired tomorrow if you ___________________ to bed soon. (to go)
15The government ___________________ the next election if they continue to ignore public opinion. (to lose)
16If Valencia FC win the Spanish football league, I___________________ my hair blue. (to dye)
17If someone ___________________ you a bike, you can come with us. (to lend)

เฉลย

First Conditional Exercise - answers

1If Clare arrives late again, the hockey trainer will be furious.
2You'll be sorry if you don't revise for your exams.
3We'll go if the weather's good.
4They won't recognise you if you wear a wig and dark glasses.
5If the bus is on time, I won't miss the football.
6If you do your homework now, you'll be free all tomorrow.
7We'll eat out if there's no food at home.
8You'll find life much easier if you smile more often.

9

If it's hot, we'll go for a swim.
10You'll do it better if you take more time over it.
11If she keeps practising, she'll get better. (to get)
12Mum will be very sad if Jim forgets Mother's Day again. (to forget)
13I'll be so happy if I pass the exam. (to be)
14You'll be really tired tomorrow if you don't go to bed soon. (to go)
15The government will lose the next election if they continue to ignore public opinion. (to lose)
16If Valencia FC win the Spanish football league, I'll dye my hair blue.
17If someone lends you a bike, you can come with us. (to lend)