Present perfect continuous หรือที่เราเรียกอีกชื่อว่า Present perfect progressive เราจะเรียกอย่างไรก็ได้ แต่ความหมายเหมือนกันนะครับ คราวนี้เรามาเริ่มบทเรียนนี้กันเลยดีกว่า
วิธีใช้
การใช้ใช้เช่นเดียวกับ PRESENT PERFECT TENSES แต่เน้นใช้กับประโยคที่มีความต่อเนื่อง
หมายเหตุ: จะต้องใช้กับ v.ที่มีความต่อเนื่อง เช่น work, stay, wait etc. และใช้กล่าวถึงการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงในขณะที่พูด การบอกระยะเวลาของความต่อเนื่องมักใช้คำว่า for two hours, for three weeks, for a month, since last month หรือ recently และ lately เป็นต้น
โครงสร้างประโยคจะเป็นดังนี้นะครับ
รูปประโยคบอกเล่า : Subject + V.to have + been + V.ing
รูปประโยคปฏิเสธ : Subject + V. to have + not + been + V.ing
รูปประโยคคำถาม : V. to have + Subject + been + V.ing
หมายเหตุ : เมื่อประธานเป็น I, You, We, They, Plural (more than 1) เราใช้ have นะครับ เมื่อประธานเป็น He, She, It, Singular (only 1) เราใช้ has
ลักษณะประโยคต่างๆ ของ Present perfect continuous tense
ประโยคบอกเล่า
I have been waiting for one hour.
You have been talking too much.
ประโยคปฏิเสธ It has not been raining.
We have not been playing football.
ประโยคคำถาม
Has she been doing her homework?
Have they been doing their homework?
คราวนี้ลองมาทำแบบฝึกกันดูนะครับ
Exercise on Present Perfect Progressive
Put the verbs into the correct form (present perfect progressive).
1. He (work) .................... in this company since 1985.
2. I (wait) ......................... for you since two o'clock.
3. Mary (live) ........................ in Germany since 1992.
4. Why is he so tired? He (play).................... tennis for five hours.
5. How long (learn / you)........................... English?
6. We (look for) .................... the motorway for more than an hour.
7. I (live)........................ without electricity for two weeks.
8. The film (run / not) ....................... for ten minutes yet, but there's a commercial break already.
9. How long (work / she).................... in the garden?
10. She (not / be)....................... in the garden for more than an hour.
เฉลยมาแล้วครับ ถูกกันกี่ข้อเอ่ย
1. He has been working in this company since 1985.
2. I have been waiting for you since two o'clock.
3. Mary has been living in Germany since 1992.
4. Why is he so tired? He has been playing tennis for five hours.
5. How long have you been learning English?
6. We have been looking for more than an hour.
7. I have been living for two weeks.
8. The film has not been running for ten minutes yet, but there's a commercial break already.
9. How long has she been working in the garden?
10. She has not been in the garden for more than an hour.
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Reported Speech
ช่วงนี้สงสัยครูก๊อตจะขยันมากไปหน่อยเลยขอมา Up Blog ต่อในเรื่องของ Reported Speech ของบทที่ 5 นักเรียนลองอ่านล่วงหน้ามาก่อนได้เพื่อเวลาเรียนจะได้เข้าใจง่ายขึ้น เราใช้ Reported Speech เมื่อจะนำคำพูดของใครไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง อาจมีวิธีพูดได้ 2 วิธี คือ
1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น
John said, "I like Mathematics."
ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech เช่น
John said (that) he liked Mathematics.
ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"
ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
คำกริยาที่ใช้กับ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น
1. say (said) = พูดว่า
2. know (knew) = รู้ว่า
3. hope (hoped) = หวังว่า
4. think (thought) = คิดว่า
เช่น
(1) John said, "I like Mathematics."
(2) John said (that) he liked Mathematics.
คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)
ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
2. Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
3. Reported Questions (คำถาม)
ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Reported Speech แบบ Reported Statement
มีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ดังนี้
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech เช่น
Direct Speech : John says, "I like Mathematics."
=>Reported Speech : John says (that) he likes Mathematics.
(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 = Present Simple Tense ทั้งคู่)
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech ดังนี้
1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense เช่น
Direct Speech : John said, "I like Mathematics."
=> Reported Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense เช่น
Direct Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."
=> Reported Speech : Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Tom said, "I have finished my work."
=> Reported Speech : Tom said (that) he had finished his work.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Malee said, "I went to Bangkok."
=> Reported Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่น
Direct Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."
=> Reported Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่น
Direct Speech : They said, "We shall go to Bangkok."
=> Reported Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่น
Direct Speech : Jim said, "I can't speak Thai."
=> Reported Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่น
Direct Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
=> Reported Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
9) must เปลี่ยนเป็น had to เช่น
Direct Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."
=> Reported Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
ข้อควรจำเพิ่มเติม
1. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Reported Speech
now => then
today => that day
yesterday => the day before / the previous day
tonight => that night
tomorrow => the next day / the following day
next (week) => the following (week)
ago => before
last (week) => the previous (week)
the day before yesterday => earlier / two days before
the day after tomorrow => later in two day's time / two days after
a year ago => a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Direct Speech
here => there
this => that
these => those
2. Reported Speech แบบ Reported Request and Command
การเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
เช่น
Direct Speech : He said, "Please don't make aloud noise."
=> Reported Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."
=> Reported Speech : She told us to come to the party the following day.
(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."
=> Reported Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
3. Reported Speech แบบ Reported Question
การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Reported Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
1.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
1.2 ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)
1.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Can we leave now?"
=> Reported Speech : They asked if they could leave then.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"
=> Reported Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
2.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
2.2 ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
2.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Who can speak English?"
=> Reported Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……
จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"
=> Reported Speech : She asked me when Jim would go to Japan.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)
เป็นอย่างไรบ้างครับงงไหม หากไม่เข้าใจนักเรียนสามารถส่ง mail มาถามครูก๊อตเป็นการส่วนตัวได้นะครับที่ krugott@gmail.com
คราวนี้เรามาลองทำแบบฝึกหัดกันดูดีกว่า ครูก๊อตขออนุญาตลง Site ไว้ ตาม Link ด้านล่างนะครับในบทเรียนนี้ ใน Site นี้มีแบบฝึกเรื่องนี้มากมายให้นักเรียนเลือกทำนะครับ
http://www.englishexercises.org/buscador/buscar.asp?nivel=any&age=0&tipo=any&contents=reported
1. โดยยกคำพูดจริง ๆ ของผู้พูดไปเล่าให้ฟังทั้งหมดโดยไม่เปลี่ยนแปลง เรียกว่า Direct Speech เช่น
John said, "I like Mathematics."
ข้อความว่า "I like Mathematics" เป็น Direct Speech
2. โดยดัดแปลงเป็นคำพูดของผู้เล่าเอง เรียกว่า Indirect Speech หรือ Reported Speech เช่น
John said (that) he liked Mathematics.
ข้อความว่า "he liked Mathematics" ดัดแปลงมาจากคำพูดของ John ที่พูดว่า "I like Mathematics"
ดังนั้นข้อความนี้จึงเป็น Indirect Speech หรือ Reported Speech
คำกริยาที่ใช้กับ Reported Speech เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verbs หรือ Introducing Verbs) เช่น
1. say (said) = พูดว่า
2. know (knew) = รู้ว่า
3. hope (hoped) = หวังว่า
4. think (thought) = คิดว่า
เช่น
(1) John said, "I like Mathematics."
(2) John said (that) he liked Mathematics.
คำกริยา said ในประโยค (1) เรียกว่า กริยานำ (Reporting Verb หรือ Introducing Verb)
ข้อความว่า (that) he liked Mathematics ในประโยค (2) เรียกว่า คำเล่า (Indirect Speech หรือ Reported Speech)
Reported Speech มี 3 แบบใหญ่ ๆ คือ
1. Reported Statement (บอกเล่าและปฏิเสธ)
2. Reported Request and Command (ขอร้องและคำสั่ง)
3. Reported Questions (คำถาม)
ซึ่งมีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ที่แตกต่างกันดังนี้
1. Reported Speech แบบ Reported Statement
มีวิธีการเปลี่ยนจาก Direct Speech เป็น Reported Speech ดังนี้
(1) ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก
(2) จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
(3) ตัดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
(4) เปลี่ยนสรรพนามในคำพูดให้เข้ากับผู้พูด
(5) เปลี่ยน Tense ของคำกริยาในคำพูดให้เข้ากับ Reporting Verbs ซึ่งมี 2 แบบใหญ่ ๆ ดังนี้
5.1 ถ้ากริยานำเป็นปัจจุบัน (Present) ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech เช่น
Direct Speech : John says, "I like Mathematics."
=>Reported Speech : John says (that) he likes Mathematics.
(like และ likes เป็นคำกริยาช่องที่ 1 = Present Simple Tense ทั้งคู่)
5.2 ถ้ากริยานำเป็นอดีต (Past) ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Reported Speech ดังนี้
1) Present Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Simple Tense เช่น
Direct Speech : John said, "I like Mathematics."
=> Reported Speech : John said (that) he liked Mathematics.
2) Present Continuous Tense เปลี่ยนเป็น Past Continuous Tense เช่น
Direct Speech : Jenny said, "I am not going to Bangkok."
=> Reported Speech : Jenny said (that) she was not going to Bangkok.
3) Present Perfect Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Tom said, "I have finished my work."
=> Reported Speech : Tom said (that) he had finished his work.
4) Past Simple Tense เปลี่ยนเป็น Past Perfect Tense เช่น
Direct Speech : Malee said, "I went to Bangkok."
=> Reported Speech : Malee said (that) she had gone to Bangkok.
5) will เปลี่ยนเป็น would เช่น
Direct Speech : John and Tom said, "We will go to Bangkok."
=> Reported Speech : John and Tom said (that) they would go to Bangkok.
6) shall เปลี่ยนเป็น should เช่น
Direct Speech : They said, "We shall go to Bangkok."
=> Reported Speech : They said (that) they should go to Bangkok.
7) can เปลี่ยนเป็น could เช่น
Direct Speech : Jim said, "I can't speak Thai."
=> Reported Speech : Jim said (that) he couldn't speak Thai.
8) may เปลี่ยนเป็น might เช่น
Direct Speech : Peter said, "I may not go to Bangkok."
=> Reported Speech : Peter said (that) he might not go to Bangkok.
9) must เปลี่ยนเป็น had to เช่น
Direct Speech : My mother said, "I must go to Bangkok."
=> Reported Speech : My mother said (that) she had to go to Bangkok.
ข้อควรจำเพิ่มเติม
1. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่เป็นเวลาให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Reported Speech
now => then
today => that day
yesterday => the day before / the previous day
tonight => that night
tomorrow => the next day / the following day
next (week) => the following (week)
ago => before
last (week) => the previous (week)
the day before yesterday => earlier / two days before
the day after tomorrow => later in two day's time / two days after
a year ago => a year before / the previous year
2. ถ้าใน Direct Speech มีคำหรือข้อความที่แสดงความใกล้-ไกลให้เปลี่ยนดังนี้
Direct Speech => Direct Speech
here => there
this => that
these => those
2. Reported Speech แบบ Reported Request and Command
การเปลี่ยนประโยคขอร้อง ขออนุญาต หรือคำสั่ง (Request or Command) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่มีที่แตกต่างกัน คือ
(1) ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)
(2) ใช้ (not) to เป็นตัวเชื่อม
(3) ถ้า Direct Speech ไม่มีกรรม (object) ให้เติมกรรมลงไปใน Reported Speech ด้วย
(4) ถ้ามีคำว่า Please ให้ตัดออก
เช่น
Direct Speech : He said, "Please don't make aloud noise."
=> Reported Speech : He told him not to make aloud noise.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น told
(2) ใช้ not to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นปฏิเสธ (don't)
(3) เติมกรรม (him) เพราะ Direct Speech ไม่มีกรรม
(4) ตัดคำว่า Please ออก
Direct Speech : She told us, "Come to the party tomorrow."
=> Reported Speech : She told us to come to the party the following day.
(1) ใช้กริยานำว่า told เพราะ Direct Speech ใช้ told
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Come)
(3) ใช้คำว่า us เป็นกรรมเพราะ us เป็นกรรมของกริยา told อยู่แล้ว
(4) เปลี่ยน tomorrow เป็น the following day
Direct Speech : She asked her father, "Let me go to Chiangrai with Ludda."
=> Reported Speech : She asked her father to let her go to Chiangrai with Ludda.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะ Direct Speech ใช้ asked
(2) ใช้ to เป็นตัวเชื่อมเพราะ Direct Speech เป็นบอกเล่า (Let)
(3) เปลี่ยนกรรมจากคำว่า me เป็น her เพราะเป็นคำพูดของผู้หญิง (She)
3. Reported Speech แบบ Reported Question
การเปลี่ยนประโยคคำถาม (Question) เป็น Reported Speech มีวิธีการเปลี่ยน Tense คำหรือข้อความบอกเวลา และคำหรือข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกลเหมือนกับ Reported Statement แบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะของคำถาม คือ
(1) ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วยกริยาช่วย (Yes/No Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
1.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
1.2 ใช้ if หรือ whether เป็นตัวเชื่อม มีความหมายว่า "ใช่หรือไม่" (จะใช้คำใดก็ได้)
1.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Can we leave now?"
=> Reported Speech : They asked if they could leave then.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ if เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยนคำบอกเวลาจากคำว่า now เป็น then
(4) เปลี่ยน we เป็น they เพราะผู้พูดคือ They
(5) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Can we …..…. เป็น They could ………)
Direct Speech : She said to me, "Does Jim like Thai food?"
=> Reported Speech : She asked me whether Jim liked Thai food.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ whether เป็นตัวเชื่อม
(3) เปลี่ยน like จากช่องที่ 1 เป็นช่องที่ 2 คือ liked
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม Does Jim like …..…. เป็น Jim liked ………)
2. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Question words (Wh- Questions) เมื่อเปลี่ยนเป็น Reported Speech ให้ทำดังนี้
2.1 ใช้กริยานำ คือ ask/asked (ถามว่า),
inquire/inquired (ถามว่า),
wonder/wondered (สงสัยว่า, อยากรู้ว่า),
want to know/wanted to know (อยากรู้ว่า)
2.2 ใช้ Question words เป็นตัวเชื่อม
2.3 เรียงคำในประโยคให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า
เช่น
Direct Speech : They asked, "Who can speak English?"
=> Reported Speech : They asked who could speak English.
(1) ใช้กริยานำว่า asked เพราะประโยคที่มี Direct Speech มีกริยานำว่า asked อยู่แล้ว
(2) ใช้ who เป็นตัวเชื่อม เพราะ who เป็น question word
(3) เปลี่ยน can เป็น could
(4) ข้อความใน Direct Speech เรียงคำอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าอยู่แล้ว คือ ประธาน + กริยา + ……
จึงคัดลอกลงใน Reported Speech ได้เลย
Direct Speech : She said to me, "When will Jim go to Japan?"
=> Reported Speech : She asked me when Jim would go to Japan.
(1) เปลี่ยนกริยานำจาก said เป็น asked
(2) ใช้ when เป็นตัวเชื่อม เพราะ when เป็น question word
(3) เปลี่ยน will เป็น would
(4) เรียงคำที่เปลี่ยนจาก Direct Speech ให้อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คือ ประธาน + กริยา + ….……
(จากเดิม will Jim go …..…. เป็น Jim would go ………)
เป็นอย่างไรบ้างครับงงไหม หากไม่เข้าใจนักเรียนสามารถส่ง mail มาถามครูก๊อตเป็นการส่วนตัวได้นะครับที่ krugott@gmail.com
คราวนี้เรามาลองทำแบบฝึกหัดกันดูดีกว่า ครูก๊อตขออนุญาตลง Site ไว้ ตาม Link ด้านล่างนะครับในบทเรียนนี้ ใน Site นี้มีแบบฝึกเรื่องนี้มากมายให้นักเรียนเลือกทำนะครับ
http://www.englishexercises.org/buscador/buscar.asp?nivel=any&age=0&tipo=any&contents=reported
First Conditional
ในบทที่ 4 นี้ เราจะเรียนเรื่อง First conditional เป็นเรื่องที่สอง ครูก๊อตเลยเข้ามา up blog เพิ่มเติมเรื่องนี้หากนักเรียนไม่เข้าใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ดังนี้ครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
First conditional ใช้นำเสนอ ความจริงหรือเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิด(ในอนาคต)
First Conditional: ใช้ในกรณีที่เป็นเหตุการณ์ปกติ หรือ อนาคตที่เป็นไปได้
This is used for situations that are possible or likely in the future.
โครงสร้างประโยค
เช่น
If you find English grammar hard, you'll have to study a lot.
(ถ้าการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมันยาก, คุณจะต้องศึกษาให้มาก)
If I give you a hand with that job, we'll finish faster.
(ถ้าฉันช่วยคุณทำงาน, งานของพวกเราก็จะเสร็จเร็วขึ้น)
If you're nice to people, they'll be nice to you.
(ถ้าเธอดีกับคนอื่น, คนอื่นก็จะดีกับคุณ)
If it rains later, we'll get wet.
(ถ้าฝนตกหลังจากตอนนี้, พวกเราก็จะเปียก)
I'm going to be angry if you're late again.
(ฉันจะโกรธแล้วนะ ถ้าคุณมาสายอีก)
If I have time, I'll come over later.
(ถ้าฉันมีเวลา, ฉันจะกลับมาหลังจากนี้)
The situation will be hopeless if I don't speak to you right now.
(สถานการณ์ตอนนี้ลำบากมาก แทบจะไม่มีหวังเลย ถ้าฉันไม่คุยกับคุณตอนนี้)
กรณีปฏิเสธ
I won't go outside if it's too cold.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกหรอก ถ้ามันหนาวเกินไป)
I won't go outside unless it's cool or warm enough.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกจนกว่าจนกว่าอากาศจะเย็นหรืออบอุ่นเพียงพอ)
คราวนี้เราลองมาประลองฝีมือลองทำแบบฝึกหัดกันดู
First conditional ใช้นำเสนอ ความจริงหรือเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิด(ในอนาคต)
First Conditional: ใช้ในกรณีที่เป็นเหตุการณ์ปกติ หรือ อนาคตที่เป็นไปได้
This is used for situations that are possible or likely in the future.
โครงสร้างประโยค
|
เช่น
If you find English grammar hard, you'll have to study a lot.
(ถ้าการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมันยาก, คุณจะต้องศึกษาให้มาก)
If I give you a hand with that job, we'll finish faster.
(ถ้าฉันช่วยคุณทำงาน, งานของพวกเราก็จะเสร็จเร็วขึ้น)
If you're nice to people, they'll be nice to you.
(ถ้าเธอดีกับคนอื่น, คนอื่นก็จะดีกับคุณ)
If it rains later, we'll get wet.
(ถ้าฝนตกหลังจากตอนนี้, พวกเราก็จะเปียก)
I'm going to be angry if you're late again.
(ฉันจะโกรธแล้วนะ ถ้าคุณมาสายอีก)
If I have time, I'll come over later.
(ถ้าฉันมีเวลา, ฉันจะกลับมาหลังจากนี้)
The situation will be hopeless if I don't speak to you right now.
(สถานการณ์ตอนนี้ลำบากมาก แทบจะไม่มีหวังเลย ถ้าฉันไม่คุยกับคุณตอนนี้)
กรณีปฏิเสธ
I won't go outside if it's too cold.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกหรอก ถ้ามันหนาวเกินไป)
I won't go outside unless it's cool or warm enough.
(ฉันจะไม่ไปข้างนอกจนกว่าจนกว่าอากาศจะเย็นหรืออบอุ่นเพียงพอ)
คราวนี้เราลองมาประลองฝีมือลองทำแบบฝึกหัดกันดู
Fill the gap using the verb in brackets.Three gaps need a NEGATIVE verb and watch out for the third person S!
1 | If Clare ___________________ late again, the hockey trainer will be furious. (to arrive) |
2 | You'll be sorry if you ___________________ for your exams. (to revise) |
3 | We ___________________ if the weather's good. (to go) |
4 | They ___________________ you if you wear a wig and dark glasses. (to recognise) |
5 | If the bus ___________________ on time, I won't miss the football. (to be) |
6 | If you ___________________ your homework now, you'll be free all tomorrow. (to do) |
7 | We___________________ out if there's no food at home. (to eat) |
8 | You'll find life much easier if you ___________________ more often. (to smile) |
9 | If it's hot, we___________________ for a swim. (to go) |
10 | You'll do it better if you ___________________ more time over it. (to take) |
11 | If she ___________________ practising, she'll get better. (to keep) |
12 | Mum will be very sad if Jim ___________________ Mother's Day again. (to forget) |
13 | I___________________ so happy if I pass the exam. (to be) |
14 | You'll be really tired tomorrow if you ___________________ to bed soon. (to go) |
15 | The government ___________________ the next election if they continue to ignore public opinion. (to lose) |
16 | If Valencia FC win the Spanish football league, I___________________ my hair blue. (to dye) |
17 | If someone ___________________ you a bike, you can come with us. (to lend) |
เฉลย
First Conditional Exercise - answers
1 | If Clare arrives late again, the hockey trainer will be furious. |
2 | You'll be sorry if you don't revise for your exams. |
3 | We'll go if the weather's good. |
4 | They won't recognise you if you wear a wig and dark glasses. |
5 | If the bus is on time, I won't miss the football. |
6 | If you do your homework now, you'll be free all tomorrow. |
7 | We'll eat out if there's no food at home. |
8 | You'll find life much easier if you smile more often. |
9 | If it's hot, we'll go for a swim. |
10 | You'll do it better if you take more time over it. |
11 | If she keeps practising, she'll get better. (to get) |
12 | Mum will be very sad if Jim forgets Mother's Day again. (to forget) |
13 | I'll be so happy if I pass the exam. (to be) |
14 | You'll be really tired tomorrow if you don't go to bed soon. (to go) |
15 | The government will lose the next election if they continue to ignore public opinion. (to lose) |
16 | If Valencia FC win the Spanish football league, I'll dye my hair blue. |
17 | If someone lends you a bike, you can come with us. (to lend) |
วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
Reflexive pronouns
Complete each sentence with reflexive pronouns.
1. Welcome to the party, everyone! Just help ________ to sandwiches and snacks.
2. John hurt ________ while he was fixing his car.
3. At 12.30, Junko and I went to the cafeteria to buy ________ some lunch.
3. At 12.30, Junko and I went to the cafeteria to buy ________ some lunch.
4. When I saw ________ in the mirror, I was horrified -- there was red paint on my nose!
5. I'll have to help Young Hee fill in her form, but Ja Young can do it ________, because her English is excellent.
6. Jody and her husband own their own company, so they can give ________ a holiday any time they like.
7. Can I ask you a question, Sami? Did you go to classes to learn German, or did you teach ________?
8. Why can't you guys do it __________?
9. Look! There's a little bird washing ________ in the river.
10. My brother likes to talk about __________.
Keys :
1. yourselves
2. himself
3. ourselves
4. myself
5. himself
6. themselves
7. yourself
8. yourselves
9. itself
10. himself
Present Continuous with future planning
Present continuous with future planning เป็นการนำเอา Present continuous มาใช้กับเหตุการณ์ในอนาคต โครงสร้างและรูปประโยคเหมือนกับ Present continuous ทั่วไป เหมือนที่ครูก๊อตเคยอธิบายให้นักเรียนฟังในบทเรียนก่อน ๆ แต่เราลองมาทบทวนโครงสร้างกันอีกครั้งกันเหนียวไว้ดีกว่า เริ่มที่
รูปประโยคบอกเล่า : Subject + V.to be + V.ing
รูปประโยคปฏิเสธ : Subject + V.to be + not + V.ing
รูปประโยคคำถาม : V. to be + Subject + V.ing
เนื่องจากเรากำลังพูดอยู่ในเรื่องของ Present ที่เป็นปัจจุบัน V.to be จึงเป็น is, am ,are เรามาทบทวนการใช้อีกสักครั้ง
I ใช้กับ am
You, We, They, Plural (more than 1) ใช้กับ are
He, She, It, Singular (only 1) ใช้กับ is
เราลองมาดูตัวอย่างประโยค Present continuous with future planning กันดีกว่า
We're palying our first concert on 15th May in New York. The next day, we're taking the train to Washington D.C. We're performing in Washington D.C. on 18th and we're going to Europe.
(พวกเราจะไปแสดงคอนเสริต์แรกที่นิวยอร์คในวันที่ 15 พฤษภาคม และวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางโดยรถไฟไปวอชิงตัน ดี.ซี. และจะไปแสดงที่นั่นในวันที่ 18 พฤษภาคม และจะออกเดินทางต่อไปยังยุโรป)
นักเรียนจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดยังไม่เกิดขึ้นแต่เป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เนี่ยแหละที่เราใช้ Present continuous with future planning
บทเรียนนี้เป็นการทบทวนเรื่องของ Present continuous เป็นเรื่องที่เคยลงแล้ว หากนักเรียนสนใจทำแบบฝึกหัดให้กลับไปดูบทเรียนก่อนหน้านี้นะครับ
ครูก๊อต
รูปประโยคบอกเล่า : Subject + V.to be + V.ing
รูปประโยคปฏิเสธ : Subject + V.to be + not + V.ing
รูปประโยคคำถาม : V. to be + Subject + V.ing
เนื่องจากเรากำลังพูดอยู่ในเรื่องของ Present ที่เป็นปัจจุบัน V.to be จึงเป็น is, am ,are เรามาทบทวนการใช้อีกสักครั้ง
I ใช้กับ am
You, We, They, Plural (more than 1) ใช้กับ are
He, She, It, Singular (only 1) ใช้กับ is
เราลองมาดูตัวอย่างประโยค Present continuous with future planning กันดีกว่า
We're palying our first concert on 15th May in New York. The next day, we're taking the train to Washington D.C. We're performing in Washington D.C. on 18th and we're going to Europe.
(พวกเราจะไปแสดงคอนเสริต์แรกที่นิวยอร์คในวันที่ 15 พฤษภาคม และวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางโดยรถไฟไปวอชิงตัน ดี.ซี. และจะไปแสดงที่นั่นในวันที่ 18 พฤษภาคม และจะออกเดินทางต่อไปยังยุโรป)
นักเรียนจะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดยังไม่เกิดขึ้นแต่เป็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เนี่ยแหละที่เราใช้ Present continuous with future planning
บทเรียนนี้เป็นการทบทวนเรื่องของ Present continuous เป็นเรื่องที่เคยลงแล้ว หากนักเรียนสนใจทำแบบฝึกหัดให้กลับไปดูบทเรียนก่อนหน้านี้นะครับ
ครูก๊อต
Must และ Mustn't
must แปลว่า "ต้อง" ดังนั้น mustn't หรือ must not ก็จะต้องแปลว่า "ไม่ต้อง หรือ ต้องไม่"
โครงสร้างของประโยคที่ใช้ must คือ
ประโยคบอกเล่า : Subject + must + v.1
ประโยคปฏิเสธ คือ : Subject + mustn't + v.1
หลักการใช้ must คือ
1. ใช้แสดงความเป็นที่ต้องกระทำ เช่น
You must do your work. (คุณต้องทำงานของคุณ)
You must help me. (คุณต้องช่วยฉัน)
You must pay attention in class. (คุณต้องตั้งใจเรียนในห้องเรียน)
2. ใช้ในการให้คำแนะนำหรือการสั่งกับตนเองหรือบุคคลอื่น เช่น
You mustn't talk in the classroom. (คุณต้องไม่คุยในห้องเรียน)
You mustn't tell him about my secret. (คุณต้องไม่บอกความลับของฉันให้เขาฟัง)
I must study for my exam. (ฉันต้องตั้งใจเรียนเพื่อการสอบของฉัน)
3. ใช้ must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจ เช่น
The boy keeps crying. He must be really sick. (ชายน้อยยังคงร้องไห้อยู่ เขาคงต้องป่วยจริง ๆ )
เป็นไงนักเรียนของครูก๊อตง่ายไหมครับ เรื่องการใช้ must คราวนี้ลองมาดูและทำแบบฝึกกันดีกว่า
1. .......................................
Prepositions of Time
แหมห่างหายจากการร Up Blog ไปหลายสัปดาห์วันนี้กลับมาแล้วอาจช้าหน่อย ครูก๊อตต้องขอโทษด้วยที่มา Up Blog ให้ช้าไปหน่อย วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง Prepositions of Time กัน จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ครูก๊อตคิดว่าไม่ยากเกินความสามารถของนักเรียน เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
ตัวแรกที่นำเสนอ คือ in
เราใช้ in กับ เดือน ฤดู ปี และช่วงเวลา เช่น
I was born in April. (ฉันเกิดในเดือนเมษายน)
It is cold in winter. (หนาวจริง ๆ ในฤดูหนาว)
My mother will go to Australia in 2010. (คุณแม่ของฉันจะไปออสเตรเลียในปี 2010)
He doesn't work in the afternoon. (เขาไม่ต้องทำงานในช่วงบ่าย)
ตัวที่ 2 คือ on
เราใช้ on กับ วัน, เดือนที่มีวันที่ และวันสำคัญต่าง ๆ เช่น
They go to school on Monday. (พวกเราไปโรงเรียนในวันจันทร์)
She will come on May 5th, 2010. (เธอจะมาในวันที่ 5 พฤษภาคม 2010นี้)
We will visit my aunt on New Year's Day. (พวกเราจะไปเยี่ยมคุณป้าในวันปีใหม่)
ตัวที่ 3 ตัวสุดท้ายแล้ว คือ at
เราใช้ at กับ เวลา และช่วงของเวลา เช่น
He goes back home at three thirty. (เขากลับบ้านตอนบ่าย 3 : 30 น.)
They rest at noon. (พวกเขาพักผ่อนช่วงเที่ยง)
We have party at night. (พวกเรามีงานปาร์ตี้ตอนกลางคืน)
เห็นไหม 3 ตัวนี้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่นักเรียนคนเก่งของครูก๊อตทำได้แน่นอน คราวนี้เราลองมาฝึกทำแบบฝึกหัดกันดูซัก 10 ข้อ เริ่มกันเลยดีกว่า
Direction : Fill each blank with in, on or at.
1. The school is over ...................... four thirty.
2. We stay at home .................... Sunday.
3. We have a holiday ....................... Songkran Day.
4. He does his homework .......................... night.
5. People go to the beach ........................ summer.
6. The children get up early .......................... the morning.
7. He bought this car .......................... August.
8. The train arrives in Bangkok ............................... seven fifteen.
9. We'll picnic ....................... Saturday 10th.
10. There was the Second World War ..................... 1944.
Keys
1. at 2. on 3. on 4.at 5. in 6. in 7. in 8. at 9. on 10. in
ถูกกันกี่ข้อเอ่ย????
ครูก๊อต
ตัวแรกที่นำเสนอ คือ in
เราใช้ in กับ เดือน ฤดู ปี และช่วงเวลา เช่น
I was born in April. (ฉันเกิดในเดือนเมษายน)
It is cold in winter. (หนาวจริง ๆ ในฤดูหนาว)
My mother will go to Australia in 2010. (คุณแม่ของฉันจะไปออสเตรเลียในปี 2010)
He doesn't work in the afternoon. (เขาไม่ต้องทำงานในช่วงบ่าย)
ตัวที่ 2 คือ on
เราใช้ on กับ วัน, เดือนที่มีวันที่ และวันสำคัญต่าง ๆ เช่น
They go to school on Monday. (พวกเราไปโรงเรียนในวันจันทร์)
She will come on May 5th, 2010. (เธอจะมาในวันที่ 5 พฤษภาคม 2010นี้)
We will visit my aunt on New Year's Day. (พวกเราจะไปเยี่ยมคุณป้าในวันปีใหม่)
ตัวที่ 3 ตัวสุดท้ายแล้ว คือ at
เราใช้ at กับ เวลา และช่วงของเวลา เช่น
He goes back home at three thirty. (เขากลับบ้านตอนบ่าย 3 : 30 น.)
They rest at noon. (พวกเขาพักผ่อนช่วงเที่ยง)
We have party at night. (พวกเรามีงานปาร์ตี้ตอนกลางคืน)
เห็นไหม 3 ตัวนี้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่นักเรียนคนเก่งของครูก๊อตทำได้แน่นอน คราวนี้เราลองมาฝึกทำแบบฝึกหัดกันดูซัก 10 ข้อ เริ่มกันเลยดีกว่า
Direction : Fill each blank with in, on or at.
1. The school is over ...................... four thirty.
2. We stay at home .................... Sunday.
3. We have a holiday ....................... Songkran Day.
4. He does his homework .......................... night.
5. People go to the beach ........................ summer.
6. The children get up early .......................... the morning.
7. He bought this car .......................... August.
8. The train arrives in Bangkok ............................... seven fifteen.
9. We'll picnic ....................... Saturday 10th.
10. There was the Second World War ..................... 1944.
Keys
1. at 2. on 3. on 4.at 5. in 6. in 7. in 8. at 9. on 10. in
ถูกกันกี่ข้อเอ่ย????
ครูก๊อต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)